.
รางจืด
ชื่อสามัญ : Laurel clock vine, Blue trumpet vine
ชื่ออื่นๆ : กำลังช้างเผือก เครือเขาเขียว ขอบชะนาง ยาเขียว(ภาคกลาง)คาย รางเย็น (ยะลา) จอลอดิเออ ซั้งกะ ปั้งกะล่ะ พอหน่อเตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ดุเหว่า (ปัตตานี) ทิดพุด (นครศรีธรรมราช) น้ำนอง (สระบุรี) ย่ำแย้ แอดแอ (เพชรบูรณ์)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Thunbergia laurifolia Lindl.
อันดับ : Lamiales
วงศ์: Acanthaceae
สกุล : Thunbergia
สปีชีส์ : T. laurifolia

ถิ่นกำเนิดของต้นรางจืด และการแพร่กระจาย ต้นรางจืดเป็นไม้เถาที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันนอกเฉียงใต้ อาทิ ไทย และพม่า เป็นต้น ในประเทศไทยพบมากตามป่าดงดิบหรือป่าดิบชื้นทั่วไป แต่ปัจจุบัน เป็นที่ทราบกันดีว่ามีสรรพคุณเด่นในการขจัดพิษต่างๆ ทั้งพิษจากพืช พิษจากสัตว์ และพิษจากสารเคมี จึงนิยมนำมาปลูกตามบ้านเรือนทั่วไป

การขยายพันธุ์ต้นรางจืด นิยมใช้เถาในการปักชำ วิธีการเพาะชำเถารางจืด ให้เลือกเถาแก่มาตัดเป็นท่อน ยาวประมาณ 6-8 นิ้ว ให้มีตาติดอยู่2-3 ตา
ดอกรางจืด .
ดอกของรางจืดจะแทงออกเป็นช่อ ตามข้อบริเวณซอกใบ ประกอบด้วยกลีบดอก 5 กลีบ สีม่วงอ่อน มีโคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว คล้ายรูปแตร ปลายกลีบแยกเป็นแฉกออกเป็นรูปจาน เมื่อดอกบานจะมีขนาดประมาณ 5-10 เซนติเมตร ภายในดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน โดยรางจืดจะออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม


ผลผลรางจืด
เรียกว่า ฝัก จะเริ่มติดฝักให้ผลหลังจากที่ดอกร่วงไป ผลมีรูปทรงกลมเป็นหลอด กว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร ปลายฝักแหลม และโค้งเล็กน้อยเป็นจะงอยคล้ายปลายปากนก ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่มีสีน้ำตาลอมดำ เมื่อแก่ และแห้งเต็มที่จะปริแตกออกเป็น 2 ซีก
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ .
ลำต้น
ต้นรางจืดเป็นพืชไม้เลื้อย หรือไม้เถา เลื้อยพาดพันไปตามต้นไม้หรือเสารั้ว ขนาดเถาส่วนโคน 0.8-1.5 เซนติเมตร และค่อยๆลดขนาดลงตามความยาวของเถา ส่วนความยาวจะยาวได้มากกว่า 10 เมตร เถามีลักษณะค่อนข้างกลม และเป็นข้อปล้อง เถาส่วนโคนมีสีเขียวอมน้ำตาล เถาอ่อนหรือเถาส่วนปลายมีสีเขียวเข้ม มีขนปกคลุม เนื้อไม้เป็นไม้เนื้ออ่อน หักง่าย แต่ค่อนข้างเหนียว แก่นในสุดเป็นเยื่ออ่อนเป็นวงกลม
ใบรางจืด .
เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ ใบแทงออกใบเดี่ยวออกเป็นคู่ๆ ซ้าย-ขวา ตามข้อของเถา มีก้านใบยาว 2-4 เซนติเมตร ใบมีรูปหัวใจแหลม โคนใบมน กว้าง ตรงกลางโคนใบอาจเว้าหรือไม่เว้า ปลายใบแหลม และมีติ่งแหลมที่ส่วนปลาย ใบมีขนาดกว้าง 4-8 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-20 เซนติเมตร ใบขนาดใหญ่จะอยู่โคนก้าน และค่อยๆลดขนาดลงตามความยาวของเถา ตัวใบจะมีแผ่นใบ และขอบใบเรียบ ใบด้านบนมีสีเข้มกว่าด้านล่าง มีขนที่ด้านล่างใบ ส่วนด้านบนไม่มี ส่วนเส้นใบมี 3 เส้น เป็นร่องตื้น ยาวจากโคนใบมาปลายใบ มี 2 เส้นใบ อยู่ด้านซ้าย-ขวา ริมขอบใบยาวเกือบถึงปลายใบ และอีก 1 เส้นใบ อยู่บริเวณกลางใบ ยาวจากโคนใบจนถึงปลายสุดของใบ


การใช้ประโยชน์จากรางจืด
1. นิยมนำใบ ราก และเถา มาใช้ประโยชน์ในหลายลักษณะ เช่น การตากแห้ง แล้วนำมาบดอัดใส่แคปซูลกิน การนำมาต้มกับน้ำดื่ม รวมไปถึงการนำรากหรือใบสดมาขยี้ประคบแผลที่ถูกสัตว์มีพิษกัด

2. ใช้ต้มน้ำอาบ แก้อาการแพ้ ผื่นคัน ลดการเกิดโรคผิวหนัง โดยใช้ใบหรือเถาสด 10-15 ใบหรือเถาขนาดยาว 10 ซม. ต้มในน้ำประมาณ 10 ลิตร อาบทุกวัน ประมาณ 5-7 วัน

3. นำใบ 5-10 ใบ มาโคกให้ละเอียด ก่อนผสมน้ำ 1 แก้ว แล้วคั้นเอาเฉพาะน้ำสำหรับดื่ม

4. นำใบมาตากแห้ง แล้วสับเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนใช้ชงน้ำร้อนเป็นชาดื่ม

5. นำใบ 10-20 ใบ หรือ ใช้เถาตัดเป็นชิ้นๆยาว 1-2 นิ้ว ก่อนนำไปแช่สุราดื่ม

6. ดอกรางจืด นำมาบดให้ละเอียดผสมกับน้ำ แล้วกรองแยกกาก ก่อนนำน้ำที่ได้ใช้ทำของหวาน ใช้หุงข้าว หรือใช้ทำสีผสมอาหารอื่นๆ ซึ่งจะให้สีม่วงอ่อนหรือสีคราม หรือสีอื่นตามชนิดสีของดอก

7. คนโบราณมีความเชื่อว่า การดื่มน้ำต้มจากรางจืดสามารถช่วยแก้คุณไสย ยาสั่งหรือมนต์ดำที่ผู้อื่นทำแก่ตนได้

8. ใบรางจืดตากแห้งแล้ว นำมาบดให้ละเอียด ใช้ผสมในอาหารสัตว์ อาทิ อาหารหมู อาหารไก่ เป็นต้น ช่วยเสริมภูมิต้านทานต่อโรค และช่วยรักษาให้สัตว์มีอัตราการรอดสูงขึ้นหลังจากที่ได้รับเชื้อโรค


สรรพคุณรางจืดสมุนไพรไทย

ส่วนของราก เถา และใบ รวมถึงดอก พบองค์ประกอบของสารเคมีที่คล้ายกัน ซึ่งมีสรรพคุณทางยาหลายด้าน ได้แก่

• ทุกส่วนมีสารต้านอนุมูลอิสระ และสามารถออกฤทธิ์กำจัดสารตั้งต้นของเซลล์มะเร็ง ทำให้ช่วยต้านการเกิดเซลล์มะเร็ง และลดจำนวนเซลล์มะเร็งจนหายได้

• พบสารสำคัญหลายชนิดออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ ช่วยป้องกันเซลล์จากสารพิษ ทำให้ผิวพรรณสดใส ผิวพรรณเต่งตึง และช่วยต้านความแก่• นำทุกส่วนมาต้มดื่ม ใช้แก้พิษยาเบื่อ ทำลาย และกำจัดพิษยาฆ่าแมลงให้ออกจากร่างกาย

• ทุกส่วนนำมาตำหรือบดผสมน้ำ ใช้สำหรับพอกแผล ระงับอาการปวด ลดอาการบวม และกำจัดพิษจากสัตว์ต่อย อาทิ งูกัด แมงป่อง ตะขาบ แมงดาทะเล เป็นต้น• ทุกส่วนช่วยในการลด และกำจัดสารพิษของเห็ดพิษ ทำให้บรรเทาอาการจากพิษเห็ด และรักษาพิษจากเห็ดพิษได้

• ทุกส่วนออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ เพิ่มประสิทธิภาพการรักษาแผล เช่น รักษาไวรัสเริม ด้วยการบดผสมน้ำเล็กน้อย ก่อนนำไปประคบบริเวณรอยแผลเริม

• ทุกส่วนนำมาบดผสมน้ำเล็กน้อย ก่อนนำมาประคบหรือทาแผลสด แผลเป็นหนอง ซึ่งจะช่วยให้แผลแห้งเร็ว ลดการติดเชื้อ ลดอาการบวมของแผล

• ทุกส่วนนำมาต้มน้ำอาบ ช่วยบรรเทาอาการผื่นคัน ต้านเชื้อรา รักษาโรคผิวหนัง

• ทุกส่วนนำมาต้มน้ำดื่มหรือคั้นน้ำดื่มสำหรับใช้เป็นยาแก้ร้อนใน และช่วยบรรเทาอาการกระหายน้ำ

• ทุกส่วนช่วยลดพิษจากแอลกอฮอล์ กำจัดแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย ช่วยบำบัดผู้ติดสุราได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการเมาค้าง ให้นำใบมาต้มน้ำดื่มทุกๆ 3-5 ชั่วโมง จะช่วยคลายอาการเมาค้างได้เป็นอย่างดี ส่วนผู้ที่ติดสุรา ให้นำใบหรือเถามาต้มน้ำดื่มเป็นประจำ โดยใช้แทนน้ำดื่มหลังรับประทานอาหาร และดื่มก่อนนอนทุกวัน ตลอด 3 เดือน ซึ่งจะช่วยคลายอาการอยากดื่มสุราได้

• สำหรับผู้ที่ติดบุหรี่หรือสารเสพติด ให้นำใบหรือเถายางจืดมาต้มน้ำดื่มเป็นประจำ โดยดื่มแทนน้ำหลังรับประทานอาหารเหมือนกับการแก้อาการเมาค้าง และดื่มก่อนนอนเป็นประจำทุกวัน ติดต่อกัน 1 เดือน ซึ่งจะช่วยลดอาการอยากสูบบุหรี่ได้ แต่ทั้งนี้ผู้สูบจะต้องลดจำนวนสูบหรือไม่สูบขณะรักษา ซึ่งจะช่วยให้เลิกบุหรี่หรือสารเสพติดได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การดื่มน้ำต้มใบรางจืดเป็นประจำจะช่วยในการขับสารนิโคติน และสารพิษอื่นๆที่สะสมในเลือด และปอดออกไปด้วย ส่งผลดีสำหรับลดความเสี่ยงมะเร็งปอดหลังการเลิกบุหรี่ได้

• การดื่มน้ำต้มจากใบหรือเถาร้อนๆ ช่วยในการขับปัสสาวะ นอกจากนั้น ยังทำให้รู้สึกอยากอาหารได้อีกด้วย

• ทุกส่วนใช้ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย และไวรัสบางชนิด สามารถต้าน และฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ในกระแสเลือด ช่วยลดความรุนแรงของโรคติดเชื้อ และรักษาโรคติดเชื้อต่างๆ

• น้ำต้มจากทุกส่วน นำมาดื่มอุ่นๆ สำหรับรักษา และบรรเทาอาการท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษ

• น้ำต้มหรือน้ำคั้นสดจากใบหรือเถา ช่วยปกป้องเซลล์ตับ และไตจากพิษของสารเคมีชนิดต่างๆ และมีส่วนกระตุ้นการทำงานของไตในการกำจัดสารพิษ ลดภาระการกรองสารพิษของไตด้วยการทำลายพันธะของสารเคมีที่มีพิษให้กลายเป็นสารอนุพันธ์ที่ไร้พิษ และทำให้สามารถขับสารพิษเหล่านั้นออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น

• น้ำต้มใบหรือเถาอุ่นๆ นำมาดื่มสำหรับการรักษาไข้หวัด รักษาโรคติดเชื้อในกระแสเลือด เพราะสามารถต้าน และกำจัดเชื้อโรคบางชนิดที่อยู่ในกระแสดเลือดได้

• ช่วยลดความดันโลหิต ปรับระดับการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ

• ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยกระตุ้นระบบการหลั่งอินซูลินให้เป็นปกติ ลดความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวาน และลดอาการของโรคเบาหวาน

• ช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด ป้องกันไขมันอุดตัน และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ

• ช่วยกระตุ้นระบบควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดในสมอง

• ทุกส่วนนำมาต้มน้ำดื่มเพื่อปรับประจำเดือนให้มาปกติ หรือสำหรับหญิงที่คลอดบุตรใหม่ ให้ต้มดื่มสำหรับดับน้ำคาวปลา ช่วยฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาสภาพเดิมโดยเร็ว

อ้างอิง
https://medthai.com